วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

นโยบายต่างประเทศของญี่ปุ่น


นโยบายต่างประเทศของญี่ปุ่น
ดูเหมือนจะมีความเห็นสอดคล้องกันว่าด้วยเรื่องการเยียวยาเศรษฐกิจญี่ปุ่นเพื่ออนาคตที่ดี หนึ่งในวิธีการคือการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเสริมประสิทธิภาพของเศรษฐกิจ ต้องดำเนินการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมที่ด้อยประสิทธิภาพต่อไป ที่สำคัญต้องสร้างเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่ดีพอและให้ภาคเกษตรดำรงบทบาทหลากหลาย เช่น การอนุรักษ์ที่ดินของชาติ นอกจากนี้ยังต้องปฏิรูปต่อไปเพื่อขยายและปรับปรุงภาคบริการภายในภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่ภาคการธนาคาร การประกันภัย และหลักทรัพย์ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นธุรกิจของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นที่เรียกว่าบิ๊กแบง (Big Bang) กำลังอยู่ในระหว่างการปฏิรูป ภาคอื่นๆ เช่น การก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์และการค้าปลีกก็ต้องการการปฏิรูปที่เป็นจริงเป็นจัง ทุกภาคอุตสาหกรรมต้องแสวงหาความมีประสิทธิภาพโดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ นโยบายยกเลิกการควบคุม และส่งเสริมนโยบายการแข่งขันสำหรับภาคโทรคมนาคมซึ่งต้องดำเนินต่อไปอย่างแข็งขันหากจะให้ "การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ" นั้นประสบผล รัฐบาลจะต้องเสริมความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างนโยบายทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่บริษัทเอกชนก็ควรที่จะดำเนินการบริหารจัดการโดยมุ่งเน้นผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น

ด้วยนโยบายเศรษฐกิจมหภาค นโยบายยกเลิกการควบคุม และนโยบายเสริมสร้างการแข่งขันที่เหมาะสมของรัฐบาล การปฏิรูปดังเช่นนี้จะขับเคลื่อนกลไกตลาดได้หรือไม่ ? คงใช่บางส่วน ที่จริงแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นในระหว่างกระบวนการเปิดเสรีทางการตลาด ก็คือพฤติกรรมของภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น วิกฤติการน้ำมัน และการแข็งค่าขึ้นของเงินเยน เพราะการตกลง Plaza accord ในปี ค.ศ.1985 เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นนี้มีส่วนเร่งในการส่งเสริมการลงทุนโดยตรงของบริษัทญี่ปุ่นเป็นอย่างมากในเอเชีย สหรัฐอเมริกาและยุโรป ก่อให้เกิดระบบที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในการแบ่งงานและการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในระดับนานาชาติ นอกจากนี้ กิจกรรมของบริษัทที่ขยายกิจการไปทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก การแข่งขันกับบริษัทเหล่านี้จากอเมริกาและยุโรปได้กดดันให้บริษัทญี่ปุ่นต้องปฎิรูปตนเอง อนึ่ง อาจมีความคิดเห็นขึ้นมาได้ว่า สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการไหลเวียนของเงินทุนระดับโลกได้ทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงอาจจะจัดได้ว่า ผู้วางนโยบายเพียงแต่หามาตรการสนับสนุนกลไกตลาดดังกล่าวให้แข่งแรงขึ้นก็เป็นการเพียงพอแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะรับมือกับปัญหาพื้นฐาน ปัญหาที่แท้จริงในด้านโครงสร้างสำหรับประเทศญี่ปุ่น คือ อัตราการเกิดที่ลดลงและการเพิ่มของจำนวนประชากรสูงอายุจะมีผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในอนาคตอันใกล้ ในอดีตประชากรวัยแรงงานมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และจะเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุดในปี ค.ศ. 2005 แล้วก็จะเริ่มลดลง ในอีกด้านหนึ่งประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นตลอด และคาดการณ์ว่าประชากร กลุ่มดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมดในปี ค.ศ.2015 นั่นหมายถึงว่าหนึ่งในสี่ของประชากรรวมทั้งตัวข้าพเจ้าเองจะมีอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งก็มีความหมายชัดเจนในตัวอยู่แล้ว นั่นก็คือเศรษฐกิจจะเติบโตไม่ได้หากปราศจากการเพิ่มขึ้นของประสิทธิผลต่อแรงงาน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นก็คือ การขาดแคลนแรงงาน นอกจากนั้น ภาระค่าสวัสดิการสังคมก็จะสูงขึ้น เพราะจำนวนแรงงานที่ต้องเลี้ยงดูผู้สูงอายุมีน้อยลง ขณะที่ผู้ที่ต้องได้รับการเลี้ยงดูมีจำนวนมากขึ้น ค่าแรงจะสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของภาระประกันสังคม ค่าสวัสดิการสังคมที่เพิ่มขึ้นจะยิ่งเป็นภาระต่องบประมาณของรัฐ ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าวประเทศญี่ปุ่นจะต้องลดการขาดดุลงบประมาณ ผู้ที่มองโลกในแง่ดีอาจกล่าวว่า การขาดแคลนแรงงานจะบังคับให้เศรษฐกิจต้องประหยัดแรงงานและกระตุ้นการพัฒนาทางเทคโนโลยีโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศ และอาจจะกล่าวด้วยว่าประชากรสูงอายุจะมีส่วนช่วยการขยายตัวของการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค แต่อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าการพัฒนาดังกล่าวไม่น่าจะสามารถผลักดันให้เกิดการเจริญเติบโตในอัตราร้อยละ 2 ตามแผนประมาณการในขณะนี้ได้ ไม่มีชาติอุตสาหกรรมใดที่เคยประสบกับสังคมที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นประเทศญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นจำต้องแสวงหาสองสิ่งในเวลาเดียวกัน คือหนึ่งจะต้องทำให้เศรษฐกิจมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยการปฏิรูปโครงสร้างใน ขณะที่ต้องรับมือกับปัญหาเนื้อแท้ในด้านโครงสร้างของสังคมซึ่งจะมีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น เราจะหา "พลัง" เพื่อฟันฝ่าปัญหาที่ยากเช่นนั้นได้จากที่ใด ? ไม่มีใครสงสัยในการเปลี่ยนแปลงตนเองของประเทศญี่ปุ่นเพื่อการดำเนินเศรษฐกิจของตนให้มีประสิทธิภาพ อาจมีคำถามว่า อะไรที่จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ? ดังนั้นจะเป็นการดีที่จะได้ศึกษาว่าสิ่งใดที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศญี่ปุ่นในอดีต และปรัชญาใดที่ผลักดันสาธารณชนไปสู่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
  • ความท้าทายสำหรับประเทศญี่ปุ่น
สิ่งที่สำคัญอันดับแรกสำหรับญี่ปุ่น ก็คือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของตนอีกครั้ง ทั้งนี้มิได้เพื่อประโยชน์ของตนแต่เพียงอย่างเดียวแต่เพื่อการพัฒนาของโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ด้วย เพื่อจุดหมายนี้ ประเทศญี่ปุ่นจะต้องสร้างโครงสร้างเพื่อให้ผู้คน สิ่งของ บริการ และเงินตราสามารถหมุนเวียนผ่านแดนได้อย่างเสรีกว่าปัจจุบัน พื้นฐานของเหตุผลสำหรับนโยบายดังกล่าวมิใช่ "การบรรลุความรับผิดชอบในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2" อีกต่อไป ทว่ากลับเป็น "ความท้าทาย" ใหม่ซึ่งประเทศญี่ปุ่นต้องรับท้าเพื่อฟื้นความแข็งแกร่งของตนใหม่ พลังผลักดันสำหรับความท้าทายนี้ก็คือ "ไนอัทสึ" (แรงกดดันภายใน) มากกว่า "ไกอัทสุ" ประเทศญี่ปุ่นไม่ควรพึ่ง "ไกอัทสุ" อีกต่อไป
ในทศวรรษ 90 ประเทศอื่น ๆ ในโลกได้เร่งเคลื่อนไหวเพื่อการรวมตัวกันในระดับทวิภาคีหรือระดับภูมิภาครวมถึงข้อตกลงการค้าเสรีให้เป็นกรอบในการสร้างเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นไม่เลือกที่จะเข้าร่วมทำข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคี หรือการรวมตัวทางเศรษฐกิจในเอเชีย ? มีข้อตกลงการค้าเสรีมากกว่า 120 รายการในโลก การรวมตัวกันระดับทวิภาคีหรือระดับภูมิภาคทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งในเวลานั้น แนวโน้มเช่นนั้นดูจะโดดเด่นมากในทศวรรษ 90 ในบรรดาประเทศใหญ่ มีเพียงญี่ปุ่น เกาหลี และจีนที่มิได้มีการตกลงในข้อตกลงการค้าเสรี หมายความว่ามีเหตุผลที่ญี่ปุ่นไม่ควรแสวงหาข้อตกลงการค้าเสรีหรือว่าการแสวงหาข้อตกลงการค้าเสรีมิอาจเป็นจริงได้ ? ทางเลือกสำหรับคริสต์ศตวรรษ 2000 จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงหรือไม่ ?
ดังที่ได้อภิปรายมาในข้างต้น กระบวนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเป็นกระบวนการรวมตัวเองเข้ากับระบบการค้าเสรีพหุภาคี ส่วนหนึ่งเพราะว่าประเทศญี่ปุ่นถูกเลือกปฎิบัติในช่วงแรกหลังสงครามยุติใหม่ ๆ ประเทศญี่ปุ่นมุ่งกับการเปิดตลาดเสรีตามหลักการพื้นฐาน ในการไม่เลือกปฏิบัติของ GATT แม้ประเทศญี่ปุ่นเปิดตลาดของตนโดยการลดอัตราภาษีศุลกากรและยกเลิกการกีดกันที่ไม่ใช่ทางภาษีศุลกากรด้วยการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา ผลของการเจรจาดังกล่าวได้นำไปใช้กับคู่สัญญาทุกฝ่ายของ GATT โดยยึดตามหลักการการไม่เลือกปฏิบัติ การธำรงและเสริมสร้างระบบการค้าเสรีพหุภาคีถือเป็นนโยบายสำคัญของชาติ ประเทศญี่ปุ่นจึงได้ตกลงเปิดตลาดข้าวในการเจรจาการค้ารอบอุรุกวัยของ GATT
ในขณะเดียวกัน การทำข้อตกลงการค้าเสรีก็ไม่ขัดกับระบบการค้าเสรีพหุภาคีซึ่งรับรองโดย GATT และ WTO ซึ่งเป็นองค์การสืบต่อจาก GATT ตามข้อตกลง WTO ได้กำหนดกติกาว่าด้วยข้อตกลงการค้าเสรีด้วย หากไม่มีการกำหนดกติกา ข้อตกลงการค้าเสรีอาจกลายเป็นช่องทางให้ประเทศที่ลงนามเลือกปฏิบัติต่อประเทศที่ไม่ได้ลงนามในข้อตกลงด้วยการยกเลิกภาษีศุลกากรและกำแพงการค้าอื่น ๆ เฉพาะภายในกลุ่มมาตราที่ 24 ของ GATT กำหนดว่า จะอนุญาตให้มีข้อตกลงการค้าเสรีได้เฉพาะเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข เช่น การยกเลิกอัตราภาษีศุลกากรและข้อจำกัดทางการพาณิชย์อื่น ๆ ในการค้าทั้งหมดของระหว่างประเทศที่ลงนาม โดยมีเหตุผลสนับสนุนว่าการค้าเสรีที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นแม้จะยังคงจำกัดอยู่เฉพาะในบางประเทศ แต่ในที่สุดจะนำไปสู่การขยายตัวของการค้าโลกอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมนานาชาติโดยรวม
ตามหลักการแล้ว มีความเป็นไปได้ที่ประเทศญี่ปุ่นจะดำเนินนโนบายในการส่งเสริมการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจในระดับทวิภาคีหรือระดับภูมิภาคโดยทำข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศอื่น ๆ เช่นเดียวกับยุโรป สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ในขณะที่ให้การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีของ GATT และ WTO เห็นได้ ชัดเจนว่าทำไมประเทศญี่ปุ่นจึงไม่ดำเนินนโยบายดังกล่าว ประเทศญี่ปุ่นไม่ได้เห็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือความจำเป็นทางการเมืองที่จะต้องดำเนินนโยบายดังกล่าว ด้วยการขยายตัวของการส่งออกและเศรษฐกิจของชาติ ชาวญี่ปุ่นจึงรู้สึกว่าอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นสดใส การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มขึ้น ทำให้การเปิดตลาดในประเทศภายใต้หลักการไม่เลือกปฏิบัติสำคัญมากกว่าการแสวงหาข้อตกลงการค้าเสรี ในทางการเมืองประเทศญี่ปุ่นรู้ว่าจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาคเอเชีย-แฟซิฟิกโดยเฉพาะหลังจากการยุติของสงครามเย็น เพื่อจุดประสงค์นี้ ประเทศญี่ปุ่นเลือก APEC ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือในระดับภูมิภาคอย่างหลวม ๆ ระหว่างประเทศในเอเชีย-แปซิฟิกหลายประเทศมากกว่าการทำข้อตกลงการค้าเสรี
อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งในประเทศและนอกประเทศทำให้ประเทศญี่ปุ่นต้องกำหนดนโยบายใหม่ ในส่วนภายในประเทศก็จำเป็นจะต้องขยายตลาดโดยการส่งเสริมการไหลเวียนอย่างเสรียิ่งขึ้นของผู้คน สิ่งของ บริการ และเงินตรา หากต้องการอนาคตที่ดีท่ามกลางการขยายตัวของสังคมผู้สูงอายุ และการถดถอยของอัตราการเกิดต่ำลง ในอีกทางหนึ่ง ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียได้เพิ่มความเป็นประชาธิปไตยและเศรษฐกิจการตลาดเพื่อโอกาสการเป็นพันธมิตรในอนาคตกับประเทศญี่ปุ่นในการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมรอบประเทศญี่ปุ่นมีความพร้อมมากขึ้นเป็นลำดับเพื่อที่จะดำเนินนโยบายใหม่ของประเทศญี่ปุ่น

แนวทางใหม่
เนื่องจากการรวมตัวกันของยุโรปได้ริเริ่มโดยความพยายามร่วมกันของประเทศฝรั่งเศสและเยอรมันและการรวมกันของ NAFTA เกิดจากข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดา การส่งเสริมการรวมเศรษฐกิจตลอดจนข้อตกลงการค้าเสรีจึงไม่สามารถกระทำได้โดยลำพังประเทศเดียว จำเป็นต้องมีประเทศหุ้นส่วนที่เห็นคุณค่าร่วมกัน สิงคโปร์เป็นประเทศหนึ่งที่สามารถเป็นคู่หุ้นส่วนดังกล่าว เพราะมีท่าทีเชิงบวกในการทำข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ยังเป็นประเทศที่เศรษฐกิจมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1999 นายกรัฐมนตรี เคอิโซะ โอบุชิ แห่งประเทศญี่ปุ่น และนายกรัฐมนตรี โกะ จ๊ก ตง แห่งประเทศสิงคโปร์ได้ตกลงที่จะทำการศึกษาร่วมกันเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรีในระดับนักธุรกิจ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญและข้าราชการ จากการศึกษาร่วมกันได้มีการเสนอข้อตกลงการค้าเสรีที่กว้างขวางระหว่างประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์สำหรับยุคใหม่ ข้อตกลงการค้าเสรีทั่วไปส่วนใหญ่จะครอบคลุมการยกเลิกภาษีศุลกากรและการกีดกันที่ไม่ใช่ทางภาษีศุลกากรกับสินค้า ข้อตกลงการค้าเสรีในศตวรรษที่ 21 ไม่ควรครอบคลุมเฉพาะเรื่องสินค้า แต่ควรแสวงหาความร่วมมือและความปรองดองในกติกาและรูปแบบในเกือบทุกส่วนของเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงความปรองดองในการเปิดเสรีทางการค้าบริการและการไหลเวียนของเงินทุน ความปรองดองในกฎระเบียบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ความร่วมมือในด้านการค้าไร้กระดาษ การบริการทางการเงิน และสื่อ/การถ่ายทอด การแลกเปลี่ยนบุคลากรและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พูดง่าย ๆ ก็คือ ควรจะยกเลิกพรมแดนทางเศรษฐกิจนั่นเอง
ทำไมต้องเป็นสิงคโปร์ ? มีเหตุผลบางประการ ประการแรกคือประเทศสิงคโปร์เป็นชาติที่ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อคนใกล้เคียงกับรายได้ต่อคนของประเทศญี่ปุ่น มีระบบเศรษฐกิจที่ใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยี แม้จะมีจำนวนประชากรไม่ถึง 4 ล้านคน แต่ก็เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 และเป็นแหล่งการลงทุนที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 สำหรับบริษัทญี่ปุ่น ในขณะที่มีการชี้แจงว่าเป็นการยากที่จะบรรลุการแบ่งงานในแนวนอนได้โดยข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศอุตสาหกรรมและประเทศกำลังพัฒนา ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศสิงคโปร์และประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมด้วยกัน สามารถส่งเสริมการแข่งขันและนำไปสู่เศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ภาษาที่เป็นทางการของสิงคโปร์ภาษาหนึ่งคือ ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาที่จำเป็นในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ประการที่สอง ประเทศสิงคโปร์มีพันธสัญญาต่อระบบการค้าพหุภาคีเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นและประเทศสิงคโปร์มีทัศนะร่วมกันว่า ทั้งสองประเทศสามารถและควรที่จะสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระดับทวิภาคีครอบคลุมสาขาหลากหลายกว้างขวางและขยายความสัมพันธ์นี้ไปสู่การเปิดเสรีและความร่วมมือระดับโลก ประการที่สาม ประเทศสิงคโปร์เป็นสมาชิกของอาเซียน และข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศสิงคโปร์จะช่วยเสริมความสัมพันธ์ของประเทศญี่ปุ่นกับอาเซียน ข้อตกลงการค้าเสรีแบบใหม่ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศสิงคโปร์สามารถใช้เป็นฐานสำหรับการเปิดเสรีและการกระตุ้นเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออก ข้อตกลงการค้าเสรีดังกล่าวอาจบรรลุผลดียิ่งขึ้น หากประเทศญี่ปุ่น ประเทศสิงคโปร์และประเทศที่มีภาวะทางเศรษฐกิจเติบโตถึงขั้นอีกประเทศหนึ่งคือ สาธารณรัฐเกาหลี เข้าร่วมในข้อตกลง แม้ว่าอาจจะเป็นการยากที่จะทำข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ๆ และประเทศจีนในเวลานี้ เนื่องจากความแตกต่างในระดับภาวะความเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ทางเลือกดังกล่าวควรค่าแก่การแสวงหาในอนาคต เราคงต้องจำไว้ว่ายังคงมีหลักการบางประการที่จะต้องปฏิบัติตามเพื่อมุ่งสู่ทางเลือกในการทำข้อตกลงการค้าเสรี
ประการแรก ข้อตกลงการค้าเสรีไม่สามารถเป็นสิ่งทดแทนของระบบการค้าพหุภาคีหรือระบบ WTO (องค์การค้าโลก) ได้เลย WTO ยังต้องเป็นกรอบร่วมกันสำหรับระบบการค้าเสรีของโลกต่อไปและไม่ควรจะถูกทำลาย ชี้ให้ชัดกว่านี้คือไม่ควรทำข้อตกลงการค้าเสรีซึ่งไม่สอดคล้องกับกติกาของ WTO ความจริงแล้วกติกาของ GATT ในการยกเลิกอัตราภาษีศุลกากรและการกีดกันทางการค้าอื่น ๆ ต่อ "การค้าทั้งหมด" (substantially all the trade) มิได้หมายถึงการเปิดเสรีการค้าสินค้า 100 เปอร์เซ็นต์ WTO ตั้งเงื่อนไขยืดหยุ่นบางประการ เช่น ให้การยกเว้นสินค้าบางรายการในจำนวนจำกัด และให้ระยะเวลาในการปรับเปลี่ยนถึง 10 ปี ยิ่งกว่านั้นเนื่องจากไม่ค่อยมีการค้าทางการเกษตรและภาคที่อ่อนไหวอื่น ๆ ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศสิงคโปร์ จึงอาจมีช่องทาง สำหรับทางออกที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ประเทศญี่ปุ่นไม่ควรลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีใด ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับกฎกติกาของ WTO เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นเคร่งครัดเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรีอื่น ๆ ซึ่งสอดคล้องกับ WTO มาตลอด
ประการที่สอง ต้องตระหนักอย่างถ่องแท้ว่าจุดประสงค์ของข้อตกลงการค้าเสรีคือการเสริมสร้างการแข่งขันในบรรดาประเทศสมาชิกและนำไปสู่การเสริมประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจในที่สุด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการไร้ความหมายที่ทำข้อตกลงโดยไม่กำหนดการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปใด ๆ การเปิดเสรีและการแข่งขันจำต้องเจ็บปวดจากการปฏิรูปโครงสร้าง แต่สิ่งนี้จะส่งผลให้ประเทศญี่ปุ่นปฏิรูปเพื่อประโยชน์ของตนนอกจากนี้เมื่อทำข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่เล็กกว่าญี่ปุ่นมาก ประเทศญี่ปุ่นควรจะเอื้อเฟื้อต่อคำเรียกร้องของประเทศเหล่านั้น
ประการที่สาม ประเทศญี่ปุ่นควรจะเรียกร้องประเทศคู่เจรจาให้เปิดเสรีทางเศรษฐกิจ พึงระลึกว่าการทำเช่นนี้ในเอเชียจำต้องมีความรอบคอบเนื่องด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ ประเทศญี่ปุ่นต้องระมัดระวังให้มากพอที่จะไม่ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ว่าข้อตกลงการค้าเสรีในเอเชียตะวันออกเป็นเครื่องมือเพื่อการครอบงำทางเศรษฐกิจ สำหรับญี่ปุ่น พึงคำนึงว่าแม้การเปิดเสรีเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่การเปิดเสรีอย่างรวดเร็วอาจจะส่งผลต่อเสถียรภาพของบางประเทศขึ้นอยู่กับระดับขั้นของพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ นอกจากนั้นในขณะที่ดำเนินการเพื่อเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการเสริมสร้างระบบก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน พิจารณาจากประเด็นเหล่านี้ประเทศญี่ปุ่นควรจะส่งเสริมการเปิดเสรีและการกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่กับประเทศหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ
ประการที่สี่ ไม่ควรให้มีการแปลการเคลื่อนไหวดังกล่าวผิดว่าเป็นความพยายามที่จะสร้างกลุ่มเศรษฐกิจภายในขึ้นในเอเชีย ทั้งนี้เป็นความพยายามเพื่อการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจมิใช่การสร้างกลุ่มในภูมิภาค
ประการที่ห้า ประเทศหุ้นส่วนของประเทศญี่ปุ่นในการทำข้อตกลงการค้าเสรีไม่ควรถูกจำกัดแต่เฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออก ควรศึกษาเกี่ยวกับการทำข้อตกลงกับภูมิภาคอื่น ๆ หากมีความสำคัญในทางยุทธศาสตร์ ตัวอย่าง เช่น ข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศเม็กซิโกที่ซึ่งธุรกิจญี่ปุ่นอยู่ในภาวะด้อยกว่าเมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปก็ควรค่าแก่การพิจารณา ความสัมพันธ์กับบางประเทศ ซึ่งได้แสดงความสนใจในการทำข้อตกลงกับประเทศญี่ปุ่น เช่น สวิตเซอร์แลนด์และชิลี ก็เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาเช่นกัน
ประการสุดท้าย แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นยังมีความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออก แต่สหรัฐอเมริกาก็ยังเป็นประเทศหุ้นส่วนที่สำคัญที่สุดในด้านการเมือง ความมั่นคงและเศรษฐกิจสำหรับประเทศญี่ปุ่น เมื่อประธานาธิบดีคนใหม่เข้ารับตำแหน่งเป็นทางการแล้ว ประเทศญี่ปุ่นควรจะวางความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกาในลักษณะใด ?
จะไม่มีที่ว่างสำหรับ "ไกอัทสุ" จากสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป ข้อพิพาททางการค้าแต่ละเรื่องควรยุติโดยข้อกำหนดตามกระบวนการขององค์การการค้าโลก แน่นอนว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งในด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกาเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่น มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะทำข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกา ? จากปริมาณและลักษณะการค้าในปัจจุบันระหว่างสองประเทศ การทำข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาจะก่อประโยชน์มหาศาลต่อประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม พิจารณาจากอัตราส่วนของสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในการค้าระหว่างประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และน้ำหนักของประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาในระบบการค้าพหุภาคีแล้ว ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาคงจะเป็นข้อพิจารณาในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ควรให้ความสำคัญอันดับแรกต่อการประสานนโยบายและกติการะหว่างประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาในสาขานอกกติกาขององค์การการค้าโลกมากกว่าการทำข้อตกลงการค้าเสรีของการค้า "ตามแบบที่เคยดำเนินมาก่อน" เพราะได้มีการลดภาษีศุลกากรในระดับทั่วไประหว่างสองประเทศลงเพียงพอแล้ว ทั้งสองประเทศต้องทำงานหนัก เพื่อการประสานนโยบายและกติกาดังกล่าวให้เป็นสากลผ่านองค์การการค้าโลก ประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาควรจะยกระดับความร่วมมือและการพึ่งพาซึ่งกันและกันด้วยการยกเลิกการควบคุม การมีมาตรการส่งเสริมการลงทุน นโยบายการแข่งขันและการประสานระบบงานเช่น กรอบทางกฎหมายสำหรับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ในด้านความสัมพันธ์ของประเทศญี่ปุ่นกับประเทศอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ประเทศในสหภาพยุโรป แคนาดา และออสเตรเลียก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็นไปในแนวเดียวกันแม้สถานการณ์อาจจะแตกต่างกันก็ตาม

ข้อตกลงการค้าเสรีต้องส่งผลให้เกิดการส่งเสริมการเปิดเสรีและการตื่นตัวทางเศรษฐกิจตลอดจนการขยายตัวของตลาดซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศหุ้นส่วนอื่นๆ ที่ไม่ได้ร่วมทำข้อตกลงดังกล่าว ในการดำเนินนโยบายดังกล่าวจำเป็นต้องสร้างมติมหาชนในหมู่ชนชาวญี่ปุ่น ที่สำคัญอีกประการคือการสร้างกระบวนการที่โปร่งใสกับประเทศหุ้นส่วนและพันธมิตรของญี่ปุ่น โดยคำนึงถึงความหมายในระดับการทูต และการเมืองของความสัมพันธ์พิเศษทางเศรษฐกิจซึ่งกำเนิดมาจากข้อตกลงการค้าเสรี
www.suksrifa.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น